เริ่มต้นใช้งานจริง หุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung POWERbot VR9000

ก่อนที่จะเริ่มต้นใช้งาน เอาเครื่องมาวางเปรียบมวยใกล้ๆ กันให้ดูกันซักหน่อย ระหว่าง Neato Botvac (ซ้าย) เครื่องที่ใช้อยู่เป็นประจำ กับ Samsung POWERbot VR9000 (รูปขวา) ที่เพิ่งได้มารีวิว

Samsung Powerbot VR9000 vs Neato Botvac Series
เปรียบเทียบขนาดเครื่อง ระหว่าง Samsung POWERbot VR9000 (ขวา) และ Neato Botvac (ซ้าย)

หลังจากที่เห็นขนาดของมันแล้ว กะด้วยตาเปล่าจะเห็นได้ว่าเจ้า Samsung POWERbot VR9000 นั้นใหญ่และสูงกว่าตัว Neato Botvac มากอยู่พอสมควรเลยทีเดียว แต่ประสิทธิภาพมันจะเป็นอย่างไร น่าสนใจมากน้อยแค่ไหน ฉลาดมั้ย บอกได้เลยว่าอดใจไม่ไหวแล้ว เริ่มต้นใช้งานกันเลย

ติดตั้งแท่นชาร์จ (Charge Base Installation)

ขั้นตอนแรกก็เป็นการเริ่มชาร์จไฟจากไฟบ้านเข้าเครื่องหุ่นยนต์ดูดฝุ่นกันเสียก่อน แน่นอนว่า ก่อนที่เราจะเริ่มใช้งาน หุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung POWERbot VR9000 หรือแม้แต่ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ชนิดอื่นๆ ทุกชนิด ถ้าหากว่ามีแบตเตอรี่ด้วย เพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งานของ หุ่นยนต์ดูดฝุ่น ให้ยาวนานมากยิ่งขึ้น ก่อนการใช้งานครั้งแรก เราควรจะต้องชาร์จไฟ เข้าเครื่องให้มันเต็มเสียก่อน โดยแน่นอน ผมมักจะแกะกล่องรีวิวถ่ายรูปตอนกลางคืน และ ชาร์จไฟทั้งคืน ตื่นเช้ามาค่อยเริ่มเปิดทดสอบการใช้งานทันที

ติดตั้งหุ่นยนต์ดูดฝุ่น (Robot Vacuum Installation)

เมื่อเตรียมการชาร์จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาเสียบปลั๊กที่แท่นชาร์จพร้อม เปิดเครื่องหุ่นยนต์ดูดฝุ่นจากสวิตซ์เปิดปิดหลัก ที่อยู่ใต้เครื่อง แล้ววางบนแท่นชาร์จ โดยให้หน้าสัมผัสตรงกันกับจุดชาร์จไฟที่แท่นชาร์จ หลังจากนั้นก็ทิ้งรอเอาไว้ทั้งคืนเลย พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันใหม่ ฝันดีราตรีสวัสดิ์ครับ ZZzzzz…

ข้อควรระวัง # 1

ควรจะวางแท่นชาร์จนี้ให้ห่างจากสิ่งอีกขวางทุกมุม ไม่ว่าจะเป็น มุมซ้าย มุมขวา และ ด้านหน้า ให้เป็นระยะอย่างน้อย 1 เมตร (3.2 ฟุต) เพื่อให้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นสามารถเข้าออกแท่นชาร์จได้อย่างอัตโนมัติ โดยไม่ติดปัญหาใดๆ

ข้อควรระวัง # 2

สวิตซ์เปิดปิดหลัก ที่ทางผู้ผลิตเรียกว่า สวิตซ์ฉุกเฉิน (Emergency Switch) ที่อยู่ใต้เครื่องหุ่นยนต์ดูดฝุ่น ไม่จำเป็นต้องปิดทุกวันก็ได้ แต่ถ้าหากมีความจำเป็นที่จะต้องไม่ใช่เครื่องเป็นระยะเวลานานๆ ควรจะปิดสวิตซ์เปิดปิดหลัก ตัวนี้เอาไว้ด้วย เพื่อเป็นการถนอม และ ยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่

และเมื่อตื่นเช้าขึ้นมา ก็พบกับสิ่งที่คุณที่ทำให้คุณต้องอึ้ง !! นั่นก็คือ !! เครื่องชาร์จเสร็จแล้ว (มันน่าอึ้งตรงไหนฟระ) โดยแถบแบตเตอรี่ 3 ขีด ซึ่งถือเป็นขีดสูงสุดของมันละ พร้อมกับคำว่า “FULL” เป็นการย้ำให้มั่นใจว่าแบตเตอรี่ชาร์จเต็มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Samsung Powerbot VR9000 Charge Completed
เมื่อ หุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung POWERbot VR9000 ชาร์จเสร็จ ก็ขึ้นตัวอักษรใหญ่ๆ ว่า “FULL” เป็นอันพร้อมใช้งาน

 

การตั้งค่าครั้งแรก เครื่องหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung POWERbot VR9000

การตั้งค่าของเครื่องครั้งแรกนั้น ก็ไม่ได้ถือว่ายุ่งยากอะไรมากมาย เพราะเป็นแค่การตั้งเวลาเท่านั้น (Time Setting) ซึ่งประโยชน์เดียวของการตั้งเวลาให้กับเครื่องหุ่นยนต์ดูดฝุ่นนั่นก็คือ มันสามารถตั้งเวลาทำความสะอาดประจำวัน (Daily Cleaning Schedule) ได้นั่นเอง สำหรับหุ่นยนต์ดูดฝุ่น ตัวไหนที่ไม่มีระบบการตั้งเวลาทำความสะอาด ก็ไม่จำเป็นจะต้องตั้งเวลาให้กับเครื่อง ดังนั้นจะเห็นว่าไม่ได้มีทุกรุ่น ที่จะต้องมาตั้งเวลาแบบนี้ บางยี่ห้อ บางรุ่น ชาร์จไฟเสร็จก็ใช้งานได้เลย ไม่ต้องมาตั้งค่าอะไรเลย

โดยการตั้งเวลาให้กับเครื่องนั้นสามารถทำได้ง่ายๆ คือใช้รีโมทคอนโทรล (Remote Control) ที่ติดมากับเครื่องในการตั้ง แต่ไม่สามารถกดบนตัวเครื่องหุ่นยนต์ดูดฝุ่นได้ ซึ่งตรงจุดนี้เอง ผมเลยถือว่ามันเป็นจุดเสียของหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung POWERbot รุ่นนี้ เพราะเวลาจะตั้งค่าเวลา ตั้งโหมดโน่นนี่ จะต้องใช้รีโมทคอนโทรลในการตั้งค่าเท่านั้น (ตอนแรกก็หาวิธีอยู่นาน ปรากฏทำไม่ได้) นั่นหมายความว่า หากรีโมทคอนโทรล ของคุณหายละก็ เป็นอันจบข่าวเลยทีเดียว

Samsung Powerbot VR9000 Time Setting
ภาพหน้าจอบนเครื่อง หุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung POWERbot VR9000 ขณะทำการตั้งเวลาให้กับตัวเครื่อง

โดยการตั้งค่าเวลาของเครื่องนี้ ก็สามารถกดได้จากรีโมทคอนโทรล ที่ปุ่ม “Clock” ซึ่งเป็นปุ่มกลางที่อยู่แถวล่างสุดของรีโมทคอนโทรล

เมื่อกดไปแล้วก็จะเริ่มตั้งเวลาจากชั่วโมงก่อน (Hour Setting) ตามด้วยนาที (Minute Setting) และโหมดกลางวันกลางคืน โดยระบบเวลาของตัวนี้จะเป็นแบบ AM/PM หรือแบบ กลางวัน/กลางคืน ซึ่งต้องระวังดีๆ อย่าสับสน เดี๋ยวไม่ใช่ว่าตั้งใจจะให้มันออกมาทำงานตอน 5 โมงเย็น (PM) กลายเป็นออกมาตี 5 (AM) เสียงดังปลุกเราตื่นอีก ฉะนั้นต้องระวังให้ดี

การตั้งเวลาทำความสะอาด (Cleaning Schedule)

อีกหนึ่งควาามสามารถของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นไฮโซ ที่จะต้องมีคือ การตั้งเวลาดูดฝุ่นล่วงหน้าได้ คืออารมณ์ประมาณว่ายังไม่ต้องดูดตอนนี้ แต่ตั้งเวลาเอาไว้ว่าจะดูดล่วงหน้า ตอนที่เราไม่อยู่บ้าน หุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung POWERbot VR9000 ตัวนี้มีโหมดการตั้งเวลาทำความสะอาดให้หลักๆ อยู่ 2 โหมดด้วยกันคือ

  1. Timer Cleaning Mode (ตั้งเวลาทำความสะอาดล่วงหน้าแค่ครั้งเดียว) : แบบนี้คือจะตั้งเวลาล่วงหน้าได้ครั้งเดียว พอดูดเสร็จแล้วก็จบเลย จะไม่มีออกมาอีก
  2. Daily Cleaning Mode (ตั้งเวลาทำความสะอาดล่วงหน้ารายวัน) : แบบนี้เหมือนเป็นการกำหนดกิจวัตรประจำวันของ หุ่นยนต์ดูดฝุ่น ให้มันไปเลย ว่าทุกวัน จะให้มันออกมาทำความสะอาดตอนกี่โมง แล้วมันจะออกมาเองแบบนี้อัตโนมัติทุกวัน เหมาะกับเจ้าของเครื่องที่มีกิจวัตรประจำวันค่อนข้างตายตัว เช่น ออกไปทำงาน 8 โมงเช้า กลับมา ทุ่มตรง อย่างสม่ำเสมอ คุณก็อาจจะตั้งเวลาให้มันออกมาทำความสะอาดตอนก่อนคุณกลับมาถึงบ้านสัก 2 ชั่วโมง (คือเวลา 5 โมงเย็น) เป็นต้น
Samsung Powerbot VR9000 Cleaning Schedule Setting
ทดสอบตั้งเวลาทำความสะอาดล่วงหน้าตอน 3:20 PM หรือ บ่ายสามโมงยี่สิบนาที แบบดูดครั้งเดียวจบ (Timer Cleaning Mode)

ความคิดเห็นส่วนตัว

การตั้งเวลา ทั้งตั้งวันเวลาให้กับตัวเครื่อง และ ตั้งเวลาทำความสะอาดนั้น ส่วนตัวคิดว่าตั้งลำบากไปนิดนึง เพราะบนรีโมทคอนโทรล มันมีแค่ลูกศรชี้ขึ้น ↑ ชี้ซ้าย ← และ ชี้ขวา → แต่ไม่มีชี้ลง ↓ นั่นหมายความว่า หากกดเวลาเลยขึ้นไป จะต้องขึ้นไปอีก จนกว่ามันจะวนกลับมาใหม่

เช่นหากต้องการกดเลือกเลข 5 ก็กดขึ้นไปเรื่อยๆ หากกดเลยเป็นเลข 6 จะต้องเลื่อนขึ้นไปอีกเป็น 7 8 9 และย้อนกลับมาเป็น 0 1 2 3 4 5 อีกที จะไม่สามารถย้อนจาก 6 กลับมา 5 ได้แบบนี้เป็นต้น

11 คำถาม หุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung POWERbot VR9000

พอหลังจากที่ผมได้ทดลองใช้งานจริงกันมาสักอาทิตย์นึงแล้ว ก็มีจุดหลายจุดมากมาย ที่ทั้งชอบและไม่ชอบ โดยขอเป็นการตั้งคำถามเอง และก็ ตอบเอง ฮา ฮา ที่ผมเดาว่าทุกคนต้องตั้งคำถาม และ ข้อสงสัย

1. จะวิ่งตกบันไดหรือไม่ ?

ด้วยความสามารถของหุ่นยนต์ระดับนี้ ราคาระดับนี้ ขอให้ลืมการวิ่งตกบันได หรือการตกจากที่สูงไปได้เลย เพราะนี่คือความสามารถเบสิคพื้นฐานของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่ควรจะต้องมีทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ ทุกราคา ทุกระดับอยู่แล้ว เหมือนกับทักษะการเดาะลูกฟุตบอลของนักฟุตบอล ที่เป็นความสามารถเบสิคพื้นฐานของนักฟุตบอลทุกคนที่ควรจะต้องมี

หุ่นยนต์ตัวนี้มีเซ็นเซอร์พื้นที่ต่างระดับแบบอินฟราเรด ที่อยู่ข้างใต้เครื่องรอบๆ ตัวเครื่อง ทำให้มั่นใจได้เลยว่ามันจะไม่วิ่งตกบันไดเอง และไม่ทำให้คุณต้องเสียเงินกับมันอีกอย่างแน่นอน

2. สามารถดูดฝุ่นได้ต่อเนื่องนานเท่าไหร่ ?

ประมาณ 60 นาที (หรือ 1 ชั่วโมง) แต่ด้วยความสามารถของตัวเครื่องที่วิ่งทำความสะอาดค่อนข้างเร็ว แม้มันจะตัวใหญ่ เทอะทะ ก็ตาม ทำให้การทำความสะอาดทั่วอาณาบริเวณ ในคอนโดมิเนียมที่พักอาศัยอยู่ ประมาณเกือบๆ 60 ตารางเมตร ก็ใช้เวลาดูดประมาณ 30 – 40 นาที เท่านั้นเอง แต่มันก็ยังมีพลังอีกเหลือเฟือที่จะดูดต่อให้เสร็จ เพราะขนาดความจุของแบตเตอรี่ มีขนาดมากถึง 3,900 mAh เหลือๆ

3. สามารถวิ่งทำความสะอาดข้ามห้อง และ กลับออกมาแท่นชาร์จได้ไหม ?

ได้ ผมได้ทำการทดลองเปิดประตูห้องนอนซึ่งมีทั้งหมด 2 ห้องเอาไว้ทั้งหมด โดยวางเครื่องหุ่นยนต์ดูดฝุ่น เอาไว้ที่ห้องโถงกลาง (ห้องรับแขก) ปรากฏว่ามันก็สามารถวิ่งเข้าออกห้องนอนทั้ง 2 ห้อง ได้อย่างไม่มีปัญหา โดยการวิ่งของมันไม่ได้วิ่งมั่วไปมั่วมา มันจะใช้หลักการแบบว่า ดูดเสร็จห้องนึง ก็ออกไปดูดอีกห้องนึง โดยจะไม่กลับไปดูดห้องที่ดูดเสร็จซ้ำอีก ด้วยเทคโนโลยี Visionary Mapping™ Plus System ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ และ ลิขสิทธิ์เฉพาะของซัมซุง ทำให้เจ้าตัวนี้ทำงานได้อย่างฉลาดไม่เบาเลยทีเดียว

4. สามารถวิ่งกลับแท่นชาร์จได้อย่าแม่นยำ ทุกครั้งหรือไม่ ?

Samsung Powerbot VR9000 Charge Completed
Samsung POWERbot VR9000 สามารถวิ่งกลับแท่นชาร์จเองได้อัตโนมัติ และแม่นยำ พร้อมใช้งานในครั้งต่อๆ ไป

อีกหนึ่งข้อสงสัย ข้อกังวลของผู้ที่ชอบมาถามผมว่า หุ่นยนต์ดูดฝุ่นตัวนั้น ตัวนี้ ตัวโน้น สามารถที่จะวิ่งกลับแท่นชาร์จ (วิ่งกลับฐาน) ได้เองอย่างแม่นยำทุกครั้งหรือไม่ หากจะบอกว่ามันสามารถกลับเองได้ทุกครั้ง 100% ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะบางทีมันอาจจะไปติดอุปสรรคอยู่ที่ใดที่หนึ่งในห้องของคุณ โดยจุดที่น่ากังวลที่สุดก็คือพวกเหล่าบรรดาสายไฟต่างๆ ที่วางอยู่บนพื้น ไม่ว่าจะเป็นสายพัดลม สายไฟโทรทัศน์ เครื่องเสียง โฮมเธียเตอร์ ต่างๆ นี่แหละตัวดีเลย รวมไปถึงพรมเช็ดเท้าต่างๆ ที่มันอาจจะกลิ้งไปกลิ้งมาใต้ล้อของมันได้ ซึ่งหากมันเอาตัวรอดออกมาไม่ได้ในบางครั้ง มันก็จะติดแหง่ก อยู่อย่างนั้นไปเลย พอเรากลับบ้านมาก็ต้องออกกำลังกายยกเครื่องอันแสนหนักของมัน กลับไปชาร์จยังแท่นชาร์จของมันเหมือนเดิม

(ขอเสริมอีกนิด) แต่ไม่ต้องกังวล เนื่องจากหุ่นยนต์ดูดฝุ่น ยุคปัจจุบันนี้ มีการพัฒนาไปมาก ดังนั้นมันจึงมีความฉลาดเฉลียว ที่จะพาตัวของมันวิ่งกลับมายังแท่นชาร์จได้เกือบทุกครั้ง ถ้าให้คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ละก็ประมาณ 90-95% กันเลยทีเดียว ที่สามารถกลับมาเองได้ เรียกได้ว่าในการใช้งาน 10 วัน อาจจะมีหรือไม่มีสัก 1 วัน ที่กลับแท่นชาร์จไม่ได้

เพราะหุ่นยนต์ดูดฝุ่นรุ่นก่อน เวลาจะกลับแท่นชาร์จในแต่ละครั้งต้องอาศัยหลักการวิ่งมั่ว คลำทางเพื่อกลับมา พอมันอยู่ในรัศมีทำการ หรือ ใกล้แท่นชาร์จ แล้วมันก็ถึงจะวกหันหัวตรงกลับเข้าไปชาร์จ

แต่ทว่าในปัจจุบัน อย่างเช่นตัวนี้นั้น มันจะอาศัยวิธีการจำตำแหน่งของแท่นชาร์จ ตั้งแต่ก่อนมันออกไปดูดฝุ่นครั้งแรกแล้ว และยังมีการทำแผนที่จำลองด้วยระบบ Visionary Mapping™ Plus จากกล้องที่ส่องขึ้นไปด้านบนเพดาน ทำให้มันรู้ตำแหน่งปัจจุบัน พร้อมจดจำตำแหน่งแท่นชาร์จ ให้มันสามารถวิ่งกลับได้อย่างแม่นยำเช่นกัน ดังนั้นหายห่วงไปได้เลย

นอกจากนี้มันยังมีทีเด็ด ความสามารถของมัน อีกข้อนึงตรงที่ หากมันกำลังดูดฝุ่นอยู่ดีๆ แล้วแบตเตอรี่ใกล้หมด มันจะวิ่งกลับไปยังแท่นชาร์จเพื่อไปชาร์จไฟให้เต็มก่อน เมื่อเต็มเสร็จมันจะออกมาดูดฝุ่นต่อที่ตำแหน่งล่าสุด ก่อนมันกลับไปชาร์จไฟ และดูดพื้นที่ที่เหลือจนเสร็จ แล้วค่อยกลับแท่นชาร์จอย่างถาวรอีกที ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว หุ่นยนต์ดูดฝุ่นโดยทั่วไป หากแบตเตอรี่ใกล้หมด มันจะวิ่งกลับไปยังแท่นชาร์จก็จริง แต่ว่าไม่กลับมาดูดต่ออีกแล้ว

คำแนะนำเพิ่มเติม

ปัญหาเหล่านี้คุณสามารถแก้ไขเองได้ ให้กลายเป็นกลับแท่นชาร์จเองได้ 100% โดยการจัดพื้นที่ในห้องที่จะให้มันดูดฝุ่น ให้เอื้ออำนวย กับการดูดฝุ่น สายไฟทั้งหลายก็หาที่เก็บ ม้วน ใช้สายรัด เก็บเข้าที่เข้าทาง รวมไปถึงพรมเช็ดเท้า ก่อนจะออกจากบ้าน ก็อาจจะสะบัดฝุ่นลงพื้นไปก่อน แล้วค่อยพับม้วน วางไว้บนเก้าอี้ บนโต๊ะ เพื่อให้หุ่นยนต์ดูดฝุ่น มาดูดไป และไม่ติดอุปสรรคใดๆ (นี่คือเคล็ดลับที่ผมใช้อยู่ทุกวันเป็นประจำ)

5. ขณะดูดฝุ่นเสียงดังหรือไม่ ?

ถือว่าปกติ แต่หุ่นยนต์ดูดฝุ่นตัวนี้มีโหมดการปรับความแรงถึง 2 โหมด ด้วยกันคือ โหมดดูดฝุ่นปกติ “MAX” ดูดเต็มหลัง เสียงจะดังหน่อย ประมาณ 70-73 เดซิเบล (dB.) และ โหมด “SILENCE” จะลดพลังการดูดลงมาหน่อยนึง เหลือประมาณ 60-63 เดซิเบล

ซึ่งการดูดในโหมดดูดเงียบ หรือ “SILENCE” นั้นก็สามารถใช้ได้ในกรณีที่คุณใช้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นเป็นประจำทุกวัน หรือห้อง พื้นที่ ของคุณที่จะดูดนั้นไม่ค่อยสกปรกเท่าไหร่ ก็สามารถใช้โหมดดูดเงียบได้ เพราะนอกจากเสียงจะไม่ดังรบกวนห้องข้างๆ คนในบ้าน อย่างเช่น ลูกน้อยกำลังนอนหลับแล้ว ยังเป็นการช่วยประหยัดแบตเตอรี่ ของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นได้อีกด้วย

จากที่สังเกตดูการเปิดระบบดูดฝุ่นแบบแรงสุด (Max Mode) หรือการทำงานแบบเต็มความสามารถ ดูดแรงสุด ระดับเสียงสูงขึ้นไปถึง 70 – 73 เดซิเบล ซึ่งถามว่าดังไหม ก็ถือว่าดัง แต่ก็ยังอยู่ในระดับมาตรฐานของเครื่องดูดฝุ่นทั่วไป (ดูจากตารางเปรียบเทียบระดับเสียงในรูป)

ในขณะที่ หากเราปรับโหมดการดูดฝุ่นเป็นโหมดดูดเงียบ (Silence Mode) ระดับเสียงจะลดต่ำลงอีกประมาณ 10 เดซิเบล เหลืออยู่ที่ 60 – 63 เดซิเบล เท่านั้น ซึ่งจุดนี้ เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่น ที่ผมนำมารีวิวตัวแรก แล้วมีการปรับระดับความแรง ปรับพลัง ของการดูดได้ด้วย ถือว่าเจ๋งมาก

6. สามารถวิ่งผ่านสิ่งกีดขวางได้มากน้อยแค่ไหน ?

สามารถวิ่งได้สูงสุด มากถึง 2 เซนติเมตร (cm.) จากที่ได้ทำการทดสอบมาด้วยระบบบังคับทิศทางด้วยตัวเอง หรือระบบ “Manual” คือบังคับจงใจให้มันวิ่งผ่าน ซึ่งมันก็สามารถผ่านได้ อย่างเช่นขาเก้าอี้รับประทานอาหาร จากรูปด้านล่าง

หากเป็นพรมเช็ดเท้าต่างๆ ก็สามารถแล่นผ่านได้ฉิวเช่นกัน มันสามารถที่จะพริ้วเอาตัวรอดออกจากพรมที่มีขนที่สูงได้ หากมันติด มันจะพยายามหมุนตัวเอง ซ้าย ขวา เพื่อเอาตัวรอดออกมา แต่จากที่ทดสอบดูก็มีจังหวะที่ติดและจอดนิ่งอยู่เหมือนกัน แต่ก็มีโอกาสน้อย ที่จะเกิดขึ้น

Samsung Powerbot VR9000 in Carpet
ขณะที่ Samsung POWERbot VR9000 กำลังวิ่งทำงานอยู่บนพรม

7. การดูแลรักษาหุ่นยนต์ดูดฝุ่น ยุ่งยากหรือไม่ ?

ด้านการดูแลรักษาตัวเครื่องนี้นั้น ไม่ได้ยุ่งยากเลยแม้แต่น้อยมีแค่การทำความสะอาดอุปกรณ์แค่ 3 อย่างแค่นั่นคือ

  1. การนำขยะจากกล่องใส่ขยะฝุ่นละอองไปทิ้งถังขยะ : จุดนี้ไม่ยากเลย ก็เพียงแค่นำเอากล่องใส่ขยะฝุ่นละออง ที่มีเศษฝุ่น เศษขยะ เศษเส้นผม อยู่ในเครื่องไปเคาะๆ กับถังขยะที่บ้าน ก็เป็นอันเสร็จพิธี โดยภายในอาทิตย์นึงอาจจะล้างกล่องใส่ขยะฝุ่นละออง สักครั้ง ด้วยน้ำสะอาด (ควรนำขยะไปทิ้งถังขยะทุกวัน หรือไม่เกิน 3 วันต่อครั้ง)

    Samsung Powerbot VR9000 Dustbin Separated
    กล่องใส่ขยะฝุ่นละออง ที่ถอดประกอบไม่ยากเลย
  2. ทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศ : แผ่นกรองอากาศทรง (เกือบ) กลม (Air Filter) เป็นอีกจุดหนึ่งที่ควรจะต้องทำความสะอาด เพราะมันเป็นจุดที่กรองอากาศที่ถูกดูดเข้ามาโดยระบบ CycloneForce ซึ่งการดูดเข้ามานั้น มันพาฝุ่นละอองเข้ามากับลมด้วย แต่ก่อนที่อากาศจะถูกปล่อยออกไป จะมีที่กรองอากาศช่วยกรองให้อากาศออกไปได้อย่างเดียว แต่ฝุ่นจะถูกติดอยู่ด้านใน ซึ่งเราควรจะต้องนำเอามันล้างอยู่บ่อยๆ เพราะเมื่อฝุ่นเยอะขึ้น ก็จะทำให้ระบายอากาศออกไปจากเครื่องยากขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพการดูดฝุ่นของเครื่องลดน้อยลงเช่นกัน การทำความสะอาดก็ไม่ยากนำออกไปเป่าลม หรือใช้น้ำสะอาดล้าง แล้ว พึ่งลมให้แห้ง
    (ควรทำความสะอาดเดือนละครั้ง)

    Samsung Powerbot Air Filter
    (2) ที่กรองอากาศคุณภาพสูง ที่ถูกดูดเข้ามาในเครื่อง ก่อนถูกปล่อยออกจากกล่องใส่ขยะฝุ่นละออง สู่ภายนอก
  3. การทำความสะอาดแปรงกวาด : แปรงกวาดหลัก หรือ “Main Brush” ก็จัดเป็นอีกจุดนึงที่สำคัญมากๆ สำหรับ หุ่นยนต์ดูดฝุ่นทุกกรุ่น เพราะมันจะเป็นตัวนำพาเอาเศษฝุ่น เศษขยะ ต่างๆ ที่อยู่ในห้องของเรา เข้าไปเก็บไว้ในกล่องใส่ขยะฝุ่นละออง ซึ่งปกติแล้วตรงจุดนี้เราแทบจะไม่ต้องดูแลมันเลย เพราะเมื่อมันดูดเข้าไปเสร็จ มันก็จะเข้าตรงดิ่งไปยังกล่องใส่ขยะฝุ่นละอองโดยทันที แต่มีอยู่สิ่งนึงที่ถือเป็นของแสลง ของแปรงกวาด นั่นก็คือ “เส้นผม” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นผมของคุณผู้หญิง (เส้นผมยาว) นั่นแหละ จะเป็นปัญหาที่ชอบเข้าไปพันกับแปรง ดูดก็ไม่เข้า คายก็ไม่ออก ดังนั้นมันก็จะไปพันกันอยู่อย่างนั้นแหละ หากมีแค่เส้นเดียวหรือสองเส้น ก็ไม่เท่าไหร่ หากไม่เอามันออกมาดูนานๆ มีเป็นสิบเส้นนี่อาจจะทำให้ประสิทธิภาพการดูดฝุ่นของมันลดน้อยลงไปอีกก็เป็นได้
    (ควรทำความสะอาดหรือถอดออกมาตรวจสอบอาทิตย์ละครั้ง)

    Samsung Powerbot VR9000 Brush with Hair
    (3) แปรงกวาดหลัก (Main Brush) ที่มีเศษผมติดอยู่ด้านใน ควรจะต้องถอดไปทำความสะอาดบ้าง ลูกศรสีแดงคือ เส้นผมที่ติดอยู่ภายใน

 

8. การดูดฝุ่นครั้งนึง จะใช้เวลานานเท่าไหร่ ?

เป็นเรื่องที่ตอบยากพอสมควร เพราะเวลาที่ใช้ในการดูดฝุ่นของ หุ่นยนต์ดูดฝุ่น ในแต่ละครั้งนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยของขนาดห้อง และ อุปสรรค ต่างๆ ที่มี เช่น ข้าวของเครื่องใช้เยอะมั้ย วันนี้ของในห้องเยอะหรือเปล่า แบบนี้เป็นต้น

แต่ถ้าสำหรับตัวผม เป็นห้องพักขนาดพื้นที่ ที่ให้ดูดอยู่ ประมาณ 60 ตารางเมตร (ตัดระเบียง และ ห้องน้ำออกไป) ซึ่งแบ่งออกเป็น 1 ห้องโถงใหญ่ 2 ห้องนอน และ 1 ห้องครัว ครั้งนึงหากปล่อยมันวิ่งครบทุกห้อง ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับมัน และเปิดการดูดฝุ่นในโหมด “MAX” ก็จะ ใช้เวลาประมาณ 30-35 นาที ต่อครั้ง เท่านั้นเอง ซึ่งถือว่าเร็วกว่าทุกตัว

9. สามารถวิ่งข้ามห้องได้หรือไม่ ?

ไม่มีปัญหา มันสามารถวิ่งเข้าออกตามห้องย่อยได้อย่างไม่มีปัญหา หากมีที่กั้นระหว่างห้อง ก็สามารถวิ่งผ่านเข้าไปได้เช่นเดียวกันหายห่วงไปได้เลย แต่อย่าลืมว่าต้องเปิดประตูอ้ารอเอาไว้ด้วยนะ มันไม่ฉลาดขนาดที่จะดันประตูที่เปิดแง้มๆ อยู่เพื่อเข้าไปทำความสะอาดเองได้

10. หลังจากการดูดฝุ่นครั้งนึง ฝุ่นเยอะแค่ไหน ?

คำตอบนี้ ขอให้ดูรูปเอาละกันนะครับ นี่คือปริมาณฝุ่นที่มันดูดได้ในครั้งเดียวทั่วห้องในคอนโดมิเนียม ซึ่งปกติแล้วดูดทุกวันอยู่แล้วยังขนาดนี้ สังเกตเห็นแบบนี้แล้วจะรู้เลยว่า ฝุ่นมันอยู่รอบๆ ตัวเราจริงๆ นี่ขนาดดูดทุกวันนะ

โดยข้อดีของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นรุ่นนี้คือมันสามารถที่จะอัดฝุ่นไว้เก็บก้อนได้ ซึ่งง่ายต่อการนำไปเททิ้ง เพราะหุ่นยนต์ดูดฝุ่น ในบางรุ่น่เศษฝุ่น เศษขยะ มันจะไปเกาะตามผนังข้างๆ กล่อง ซึ่งทำให้ยากต่อการทำความสะอาดอยู่พอสมควร

11. หาซื้อ Samsung POWERbot ได้ที่ไหน ราคาเท่าไหร่ ?

การได้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นตัวนี้มาครอบครองนั้นไม่ยากเลย คุณสามารถสั่งซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น PowerMall ของห้างสรรพสินค้าเครือเดอะมอลล์ และ PowerBuy สำหรับห้างสรรพสินค้าเครือเซ็นทรัล ส่วนราคาขายอยู่ที่ประมาณ

25,xxx บาท

บทสรุปการใช้งาน

สุดท้ายก่อนจากกัน ก็ขอมาสรุปข้อดีข้อเสีย ที่ตัวเองรู้สึกหลังจากใช้งานมันมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ก็มีอยู่ดังต่อไปนี้

ข้อดี 🙂

  • ตัวเครื่องสามารถทำการดูดฝุ่นได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ตัวเครื่องจะใหญ่ แต่คล่องตัว เคลื่อนที่เร็ว ทำการดูดให้ครบทั่วทั้งห้องได้ในเวลาอันสั้น
  • มีขนาดแปรงกวาดที่ใหญ่และกว้างมากถึง 311 มิลลิเมตร (31.1 เซนติเมตร) ซึ่งถือว่ากว้างที่สุดตั้งแต่เคยพบมาเลย
  • มีระบบ CycloneForce™ ระบบที่ช่วยเสริมพลังการดูดฝุ่นด้วยแรงลมอัด เสริมกับแปรงกวาดที่มีขนาดใหญ่อยู่แล้ว ส่งผลช่วยให้ห้องของคุณสะอาด และ น่าอยู่มากยิ่งขึ้น
  • กล่องใส่ขยะมีขนาดใหญ่ถึง 0.7 ลิตร ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่เทียบเท่าพวก เครื่องดูดฝุ่น ที่ใช้คนถือดูด แต่ก็ถือว่ามีขนาดใหญ่พอสมควร หากเปรียบเทียบกับหุ่นยนต์ดูดฝุ่นด้วยกัน
  • การทำความสะอาดกล่องใส่ขยะฝุ่นละออง สามารถทำได้ง่าย ถอดออกมาล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าได้เลย
  • ฝุ่นที่อยู่ในกล่องใส่ขยะจะถูกอัดเป็นก้อนๆ ทำให้เททิ้งถังขยะได้ง่าย ไม่ต้องไปแคะ ไปแซะ มันออกให้ยุ่งยาก เสียเวลา มือเปื้อน
  • มีความฉลาดค่อนข้างสูง สามารถผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปได้ง่ายๆ ไม่ยาก
  • มีรีโมทคอนโทรล สามารถสั่งการระยะไกลได้อย่างไม่มีปัญหา และแม่นยำ
  • สามารถทำความสะอาด วิ่งข้ามห้องได้อย่างไม่มีปัญหา เช่นกัน
  • สามารถวิ่งผ่านพื้นที่ต่างระดับ หรือ สิ่งกีดขวางได้ค่อนข้างสูง (มากสูงสุดถึง 2 เซนติเมตร เลยทีเดียว)
  • มีแปรงทำความสะอาดติดมาให้ในกล่อง เพื่อใช้ทำความสะอาดตามซฮกมุมต่างๆ ภายในเครื่อง เห็นเป็นของเล็กๆ ดูไม่มีค่าแบบนี้ แต่มีประโยชน์มากๆ เลยทีเดียว ซึ่งสิ่งเหล่านี้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นหลายยี่ห้อไม่ได้มีมาให้นะจะบอกให้

    Samsung Powerbot VR9000 Cleaning Brush
    แปรงทำความสะอาดภายในตัวเครื่องหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung POWERbot VR9000 ใช้ทำความสะอาด ตามซอกมุม ต่างๆ ของตัวเครื่องมี 2 ด้าน ให้เลือก
  • สามารถปรับโหมด “Silence” ให้ตัวเครื่องเสียงค่อยลง (ดูดเบาลง) ได้เมื่อมีฝุ่นไม่เยอะ และ ไม่ต้องการให้ตัวเครื่องส่งเสียงดังรบกวนห้องข้างๆ หรือ ลูกน้อยที่กำลังหลับพักผ่อนอยู่
  • เห็นตัวใหญ่ๆ ดุดันแบบนี้ แต่เวลาวิ่งชนเฟอร์นิเจอร์ จะไม่ชนแรง แค่เหมือนสะกิดๆ มีกันชนหน้าดูดซับแรงกระแทก สร้างความเสียหายทั้งตัวเครื่อง และ เฟอร์นิเจอร์น้อยมากๆ

ข้อเสีย 🙁

  • ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ เทอะทะ ทำให้ซอกแซกเข้าตามซอกมุมได้ไม่ค่อยดีเท่ากับตัวเครื่องที่มีขนาดเล็กกว่านี้
  • การตั้งค่า หรือ ตั้งเวลาต่างๆ สามารถทำได้ผ่านรีโมทคอนโทรลเท่านั้น ไม่สามารถตั้งค่าที่ตัวเครื่องได้ ถ้าเกิดรีโมทคอนโทรลหาย หรือ พังไปละ จะแย่เลยทีเดียว
  • หน้าจอแสดงผลดูโบราณไปนิดนึง หากเทียบกับยุคสมัย และ คู่แข่งที่อยู่ในตลาดปัจจุบัน ที่เขาใช้จอ LCD ขนาดเล็ก
  • ไม่มีแปรงข้าง (Side Brush) ทำให้การดูดฝุ่นตามขอบกำแพง หรือ ซอกมุมต่างๆ ของห้อง อาจจะเก็บไม่หมด ในบางกรณี
  • ติดแหง่กในพื้นที่ที่มีสายไฟในบางกรณี
  • ไม่สามารถตั้งเวลาทำความสะอาดรายวัน แบบเจาะจงในแต่ละวันได้ เช่น วันจันทร์จะดูดตอน 5 โมงเย็น วันอังคารจะดูดตอน 7 โมงเช้า วันพุธไม่ดูดเลย เพราะจะอยู่บ้านทั้งวัน อะไรแบบนี้ ตัวนี้จะไม่สามารถทำได้ เหมือน หุ่นยนต์ดูดฝุ่น Neato สิ่งที่มันทำได้คือ มันสามารถตั้งเวลาทำความสะอาดรายวันได้ก็จริง แต่จะต้องออกมาดูดเวลาเดียวกันทุกวัน

สุดท้ายนี้ยอมรับเลยว่า ตอนแรกก่อนรีวิวพอได้ทราบข่าวเปิดตัว ก็ไม่ได้คิดว่าความสามารถของมันจะเยอะแยะมากมายขนาดนี้ ยังแอบดูถูกมันด้วยซ้ำ แต่พอหลังจากรีวิวเสร็จ หากมานั่งดูในรายละเอียดกันจริงๆ แล้วมันมีความสามารถเล็กๆ น้อยๆ ของมันเยอะมากๆ รวมไปถึงความฉลาดของมันด้วยเช่นกัน ถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองที่จะตัดสินใจแล้ว และทางผมก็หวังว่ารีวิวฉบับนี้จะช่วยคุณตัดสินใจในการที่จะ “ซื้อ” หรือ “ไม่ซื้อ” หุ่นยนต์ดูดฝุ่นตัวนี้ได้ไม่มากก็น้อยเลยทีเดียวละ

20 ความคิดเห็น

  1. รับประกันตามสัญญา แต่เรื่องอะไหล่ไม่ค่อยประทับใจ ยี่ห้อ S สักพักจะไม่มีอะไหล่ ประสบการณ์ซื้อเครื่องแล้ว เปลี่ยนรุ่นใหม่ ไม่ทำอะไหล่ จนท.S ยืนยันซ่อมไม่ได้ แบกเครื่องไปถึง สีลม เสียดายตัวเดิม แก้ปัญหาเรื่องฝุ่นด้านข้าง โดยมีขาตะกุยคล้ายตะพาบน้ำ รุ่นใหม่ซื้อเครื่องดูดฝุ่นโรบอทจีน ซื้อ 2 ตัว เท่ากับ S 1 ตัว. อยากให้ S ปรับปรุงเรื่องอะไหล่ เสีย แผงควบคุม ทำอะไรไม่ได้เลย จาก เหตุการณ์น้ำรั่วท่วมทั้งชั้น, เสียดาย.

  2. ขอบคุณรีวิวดีๆ ครับ
    ไม่ทราบว่า ถ้าใช้กับพื้นไม้ปาร์เก้ พื้นจะเป็นรอยมั้ยครับ

    • ต้องขออภัยครับ รุ่นนี้ ผมทดสอบ ที่คอนโดมิเนียม ซึ้งมีแต่พื้นกระเบื้อง และ พื้นไม้ยาง แต่ ผมไม่เคยลองกับ พื้นไม้ปาร์เก้ ที่บ้านครับ

      แต่ถ้าวิเคราะห์จริงๆ ถ้าหากดูกันละเอียดแล้ว ไม่น่าจะทำให้เกิดรอยขีดข่วนแบบเห็นได้ชัด นะครับ เพราะตรงแปรงกวาด ลักษณะก็จะเป็นแปรงแบบขนๆ และตรงล้อขับเคลื่อนหลัก ก็เป็นยาง ไม่ใช่ล้อเหล็ก จะมีหนักใจก็แค่ ล้อเลื่อนเล็กๆ (Caster Wheels) ที่อยู่รอบๆ ตัวเครื่อง แต่ส่วนตัวผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรมาก ถ้าเป็น ก็อาจจะเป็นแค่รอยขนแมวเล็กๆ เพราะ ตัวเครื่องมันก็ไม่ได้มีน้ำหนักลงต่อล้ออะไรมากมายครับผม

  3. ถ้าราคาเท่ากัน ควรเลือกตัวไหนคะ ระหว่าง Neato Botvac Series กับ Samsung Powerbot

  4. ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูล ขอสอบถามเพิ่มเติมนะครับ ระหว่าง Neato Botvac และ Samsumg Powerbot ตัวไหนที่มีกำลังดูดที่แรงกว่า สะอาดกว่า ครับ และ ตัวไหนที่น่าจะมีบริการหลังการขายที่ดีกว่ากันครับ คือ ของพวกนี้ ช่วงปีแรกยังไม่น่ามีปัญหา แต่พอเริ่มปีที่ 2 คงจะต้องเริ่มหาศูนย์บริการ เช่น แบตเสื่อม
    อะไรแบบนี้ครับ

    รบกวนด้วยนะครับ
    ขอบคุณครับ
    ดริษ

    • ส่วนตัวผมคิดว่า เรื่องพลงการดูดระหว่าง Samsung Powerbot กับ Neato Botvac นี่พอๆ กันครับ เพราะเป็นตัวใหญ่ พลังแรงทั้งคู่ มีระบบลมดูดช่วยเสริมพลังอีกด้วย ส่วนเรื่องบริการหลังการขายของทั้ง 2 เจ้า ผมขอวิเคราะห์ (ด้วยความคิดผมเอง) ดังนี้

      1. Samsung : เป็นแบรนด์ใหญ่ นำเข้าโดย ซัมซุง ประเทศไทย ซึ่ง Samsung เข้ามาบุกตลาดไทยอย่างเป็นทางการ ในอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเกือบทุกแขนง ไม่ใช่แค่หุ่นยนต์ดูดฝุ่น เพียงอย่างเดียว ศูนย์บริการมีมากมาย แต่สุดท้าย หากเครื่องมีปัญหา ก็ต้องส่งเข้ามาที่ศูนย์ซ่อม อีกที ซึ่ง Process การดำเนินงาน ค่อนข้างนาน กว่าจะส่งจากศูนย์บริการ ไปยังศูนย์ซ่อม ก็น่าจะมี อาทิตย์นึงเป็นอย่างต่ำละครับ

      2. Neato : ตัวนี้นำเข้าโดย บริษัท โรบอทเมคเกอร์ จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายหุ่นยนต์ดูดฝุ่นทั้ง Autobot และ Neato มีศูนย์บริการอยู่แถวๆ สามย่าน และมีบูท Kiosk จัดจำหน่ายอยู่ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป อย่าง เดอะมอลล์ เซ็นทรัล คุณสามารถนำเอาเครื่องหุ่นยนต์ดูดฝุ่นไปฝากไว้ตามบูธ ต่างๆ เหล่านี้เพื่อให้เขาส่งเครื่องกลับมายังศูนย์ซ่อมได้ โปรเซสการดำเนินงานก็ประมาณ 7 วัน แต่ถ้าเอาเครื่องไปซ่อมที่ศูนย์ซ่อมตรงสามย่านเลย ก็ใช้เวลาประมาณ 2 วันครับ เพราะจะต้องมีการเทสให้มันเดิน วิ่ง และ ชาร์จแบตเตอรี่ เสียก่อนครับ

      ส่วนเรื่องอะไหล่ทุกตัวนั้น ผมเชื่อว่าทั้ง 2 ยี่ห้อนี้มีจัดจำหน่ายทั้งคู่ครับ โดยเฉพาะแบตเตอรี่ สำคัญมากๆ มีจำหน่ายชัวร์ครับ

  5. พอจะรู้ไหมครับว่าเขารับประกันชิ้นส่วนไหนกี่ปีบ้างพอดีสนใจแต่คนขายอธิบายไม่เข้าใจเลย

    • ต้องขออภัยครับคุณตั้ม ผมไม่ทราบเหมือนกัน สงสัยต้องถาม Call Center ละครับ ไว้มีโอกาส ผมจะโทรไปถามมาให้นะครับผม

  6. ถ้าเทียบรุ่น Samsung Powerbot VR9000 กับ iRobot Roomba 880 ตัวไหนน่าใช้กว่ากันค่ะ รบกวนแนะนำด้วยค่ะ

    • ความคิดเห็นส่วนตัวของผม หากให้เลือกแค่ 2 ยี่ห้อนี้เท่านั้น ผมเลือก Samsung Powerbot ครับ เพราะปัจจัยเรื่องราคาที่ถูกกว่า ส่วนออปชั่นอื่นๆ คล้ายๆ กันเลยครับ ตัดสินใจยาก กินกันไม่ลงเลยทีเดียว สำหรับทั้ง 2 ยี่ห้อนี้ครับ

  7. อ่อ มีข้อสงสัยค่ะ พอดีตอนไปซื้ออยากได้สี Deep Blue มากๆ แต่ทางคนขายบอกว่า ของไทยจะนำเข้าแค่สีขาวเท่านั้น สีน้ำเงินจะมีที่เกาหลีค่ะ ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ กวางไปซื้อที่ Home Pro ค่ะ ถ้าใช้ดี อาจจะต้องซื้อเพิ่มเพื่อใช้ชั้นล่างค่ะ ^^

  8. ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆ
    อ่านรีวิววันนี้ตอนบ่าย
    ตอนเย็นวิ่งไปซื้อเลยค่ะ 555+

  9. ตอนนี้ผมกำลังลังเลระหว่าง irobot 880 กับ samsung vr9000 ไม่รุ้ว่าจะซื้อตัวไหนดี

  10. ตัวนนี้ผมซื้อมาใช้อยู่ครับ ตอนแรกลังเลกับ Hombot ตัว Top ฝาแดง ราคาถูกกว่าครึ่งนึง แต่ตัวนี้ที่ซื้อเพราะ Cyclone เลยครับ ไม่ผิดหวังจริงๆ
    ถ้าซื้อลองดูใน HomePro ครับถูกกว่า 27,XXX ครับ

    ตอนซื้อยังไม่มี Review นี้ครับแต่มาหาข้อมูลจาก Page K’Thanop นี่ล่ะครับ ต้องขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆและเป็นประโยชน์ครับ

  11. ถ้าเทียบรุ่นนี้กับ Neato Botvac อันไหนน่าใช้กว่ากันคะ เอาแบบในสถานการณ์การใช้งานจริง ลูกเล่นแพรวพราวแต่ยุ่งยากจนคนใช้ทำไม่เป็นก็ไม่ถือว่าเป็นคุณสมบัตินะคะ

    • ส่วนตัวผมชอบ Botvac มากกว่าครับ เพราะ

      1. ราคาถูกกว่า 1-2 พันบาท
      2. เวลาดูด ดูดทั่วทั้งบริเวณจริงๆ ไม่มีลืมดูดห้องไหน หรือตรงพื้นที่ไหน

      แต่ลูกเล่นการดูดยอมรับว่า Samsung Powerbot พกมาให้เยอะจริงๆ Botvac ไม่มีรีโมทคอนโทรลมาให้ด้วยครับ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็น
กรุณาใส่ชื่อของคุณตรงนี้